ต่อจาก
http://pantip.com/topic/33147177 นะครับ
5. แรกเกิด
แม่เคยบอกว่า แม่อยากได้เด็กผู้หญิง แม่จะเลี้ยงเขาให้ดีจะได้ไม่ต้องมีชีวิตเหมือนแม่ ที่ต้องเป็นแบบนี้กับการตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่ดันได้มาเป็นเด็กผู้ชาย ผมเลยถูกเลี้ยงคล้ายๆ เด็กผู้หญิง แม่บอกเสมอว่าฉันไม่ได้อยากให้แกเกิดมาเป็นผู้ชาย เพราะฉันกลัวแกจะเป็นเหมือนพ่อแก แม่บอกผมเสมอว่าเห็นหน้าแกแล้วฉันเหมือนเห็นหน้าพ่อแก ที่ถอดแบบออกมาเปี๊ยบเลย ส่วนพ่อเอง ในคืนที่ผมเกิด พ่อเองแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่เพื่อนของแม่ก็บอกให้พ่อรู้ พ่อถึงจำใจต้องมา และพ่อไม่เคยที่จะอุ้มผมเลยสักครั้งเดียว ตอนแม่ผมขอให้อุ้ม พ่อก็ไม่อุ้มนานและส่งให้นางพยาบาลอุ้ม แต่พ่อก็ซื้อนมกระป๋อง NAN มาให้ และก็รับรองบุตรให้ แม่เคยเล่าว่า ลูกแต่ละคนของเมียน้อยของพ่อ มีน้อยที่พ่อจะยอมรับรองบุตรให้ แต่ก็แค่นั้น ก็คือไม่ได้ส่งเสียอะไรเลย
เมื่อผมเกิดมา ลูกของป้า ก็อายุ 4 ขวบ ป้าผมก็เลยมาอยู่กับแม่ด้วย เพื่อช่วยดูแลผมที่ยังเล็ก แม่ก็ตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต ก็คือลาออกจากงาน และนั่นทำให้พ่อเหมือนจะโกรธมาก เพราะเวลาอยากเจอแม่ ก็จะต้องมาหาที่บ้านแทนที่จะเจอกันที่ทำงานแล้วไปไหนมาไหนต่อ อีกอย่างพ่อก็ไม่ชอบครอบครัวของแม่ที่มาอยู่ที่บ้านด้วย หลายๆ ครั้งตาเองก็ทะเลาะกับแม่ เพราะรับไม่ได้ที่พ่อมาหาแม่และมีอะไรกันที่บ้าน ตาจึงตัดสินใจที่จะไปอยู่กับลุงและตัดพ่อตัดลูกกันตั้งแต่ตอนนั้น ส่วนป้าเวลาพ่อผมมาหาก็มีหน้าที่ดูแลผมไป ป้าเล่าให้ฟังว่าแม่ทำแบบนี้เพราะต้องการให้พ่อมาหาและรับผิดชอบผมบ้างในฐานะพ่อ เพราะถ้ายังทำงานอยู่ที่ทำงาน แม่อาจจะถูกมองไม่ดี และพ่อเองก็จะถือโอกาสนี้เขี่ยแม่ออกจากชีวิตไปหาคนใหม่ได้เหมือนที่เคยทำกับคนอื่นๆ ในกอง
6. แตกแยก
เมื่อผมอายุได้ 5 ขวบ ก็มีเรื่อง ตามาแจ้งว่าลุงถูกจับข้อหาสูบกัญชาและมั่วเฮโรอีน ตาเองทราบข่าวก็ตรอมใจมาก และไม่นานตาก็เสียชีวิตไปโดยที่ลุงไม่มีโอกาสที่จะมาเผาศพเลย ภาพงานวันศพที่วัดตะกล่ำผมยังจำได้ติดตา และแม่ก็เริ่มมีปากเสียงกับพ่อบ่อยขึ้น ช่วงหนึ่งที่พ่อหายไปจากชีวิตนานถึง 6 เดือน บวกกับป้าก็มีปัญหาเรื่องเงิน เนื่องจากป้าทำงานเป็นข้าราชการมีหน้าที่จ่ายเงินเดือนให้กับคนในอำเภอ แต่ป้าได้เอาเงินไปหมุนเวียนก่อนและหาคืนมาไม่ทัน จนกลุ้มใจมาก แม่ผมเลยตัดสินใจที่จะขายบ้านในราคาถูกๆ คือ 200000 ในขณะนั้น (64 ตารางวา) เพื่อเอาเงินมาช่วยป้า และย้ายบ้านออกจากหมู่บ้านจัดสรรมาผ่อนแฟลตแห่งหนึ่งอยู่ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พ่อโกรธมากๆ เมื่อรุ้ข่าว และบอกว่าฉันจะไม่ให้อะไรเธออีกต่อไปแล้ว
เมื่อผมเรียนอนุบาล และต้องจ่ายค่าเทอม บ่อยครั้งแม่จะใช้วิธีพาผมไปหาพ่อที่ที่ทำงาน หรือถ้าไม่เจอก็ไปดักรอที่หน้าบ้าน โดยคนขับรถของพ่อที่สงสารแม่ก็เป็นคนนัดแนะให้ว่าพ่อจะไปที่ไหนเมื่อไร มีครั้งหนึ่งที่แม่บุกไปที่บ้านใหญ่ของพ่อ แต่พ่อไม่ยอมออกมาเจอ จนคนขับรถต้องพาแม่เข้าไปนั่งรอในบ้าน นั่นคงเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมได้ไปบ้านของพ่อ เดชะบุญที่เมียหลวงของพ่อใม่อยู่บ้าน และเมียหลวงของพ่อก็ตกใจ แต่พอเห็นหน้าผมก็ไม่กล้าอะไรมาก และให้กลับไปก่อน จากนั้นพ่อก็ติดต่อมาและบอกว่าจะให้เงินกินทุกเดือน และไม่ต้องทำแบบนี้อีก เพราะไม่อยากให้เมียหลวงรู้ว่ามีผล
7. ดิ้นรน
หลายครั้งที่พ่อมาหาที่บ้าน แม่มักจะไล่ผมให้ออกไปเล่นข้างนอก ผมไม่รู้หรอกว่าพ่อกับแม่ทำอะไรกันยังไงตามประสาเด็ก และหลายครั้งที่พ่อไม่ส่งเงินมาให้ แม่ผมก็ต้องหางานเสริมทุกอยายง ไม่ว่าจะไปเป็น รปภ รับเลี้ยงเด็ก สารพัด แต่ช่วงหนึ่งตกงานและไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมให้ แม่ตัดสินใจพาผมไปหาน้าวันชัย ที่ทำงาน เพื่อขอเงินค่าเทอมให้ผม นั่นก็เป็นครั้งแรกที่แม่ผมพาผมให้รุ้จักกับแฟนเก่าของแม่ ที่ปัจจุบันแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ผมจำได้ว่าวันนั้นน้าวันชัยไม่ได้คุยอะไรกันกับแม่มาก นอกจากถามว่าสบายดีไหม และลูบหัวผมเบาๆ บอกว่าก็มีส่วนคล้ายเธอนะและให้เงินค่าเทอมมาใช้และบอกให้รีบๆ กลับไป แม่ผมไหว้ขอบอกขอบคุณยกใหญ่ ก่อนที่จะออกมา บ่อยครั้งที่พ่อไม่ส่งเงินเดือนมาให้ แม่ผมก็จะพาผมไปเที่ยวโรงแรมนั้น โรงแรมนี้ เช่นโรงแรมแถวเพชรบุรีตรงข้าม มศว ที่ปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว โรงแรมมณเทียร ที่ยังอยู่ โดยแม่จะแต่งตัวชุดเครสสวยๆ ทาปาก ไปพบกันผู้ชายคนนั้นคนนี้ และทิ้งผมให้รอที่ล็อบบี้โรงแรมชั่วโมงนึงก่อนที่จะกลับบ้าน ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรเกิดขึ้นและแม่ไปทำอะไรในเวลานั้น
วันไหนที่พ่อมาหาที่บ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นวันสิ้นเดือน แม่มักจะให้ผมไปหาพ่อเพื่อขอเงินเสริม แต่ผมก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับพ่อเลย เพราะจำได้แม่นถึงภาพที่เวลาพ่อกับแม่ทะเลาะกัน เตะต่อยตบกันจนเละเทะ และจบด้วยแม่ตะเพิดพ่อออกจากบ้านเสมอ ครั้งหนึ่งผมร้องไห้และถามว่าทะเลาะกันทำไม พ่อก็เอามือมาตบบ้องหุผม และบอกว่าหุบปากเลย เป็นลูกทหารต้องห้ามร้องไห้ให้กูเห็น เดี๋ยวกุตบหูหนวก และนั่นทำให้ผมกลัวพ่อมากๆ เวลาที่ทะเลาะกัน จะได้ยินคำพ่อด่าแม่ว่า อี

แม่ด่าพ่อว่าไอ้

เสมอๆ เวลาดีกันก็ได้ยินแต่ชั้น/เธอ ส่วนผมพ่อไม่เคยเรียกผมว่าลูกเลย และพอจำความได้แม้แต่ชื่อก็ไม่เคยเรียกให้ได้ยิน พอผมอยู่ ป.4-ป.5 ก็พอรุ้ความหมายอะไรๆ บ้างแล้ว ทุกครั้งที่พ่อมาผมจะจำได้ว่าพ่อจะหอบเอาสารพัดหนังสือที่บ้านพ่ออ่านแล้วมาให้เสมอๆ สกุลไทย reader digest หนังสือเรียนต่างๆ แม้กระทั่งหนังสือโป๊ของพ่อ ก็เอามาให้อ่าน นั่นก็ทำให้ผมเริ่มเรียนรู้ว่าอะไรๆเป็นอะไรๆ ในโลกใบนี้บ้าง และหนังสือเหล่านั้นก็เป็นเพื่อนผมมาตลอด บ่อยครั้งแม่ไปหาพ่อที่กรม หรือพาผมไปหาเพื่อนๆ เก่าของแม่บ้าง หลายๆ คนก็ดีใจและก็เคยพูดกับผมว่า หนูต้องรักแม่ให้มากๆ นะ เขาลำบากมาเยอะ ในเวลานั้นผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
8. เติบโต
เมื่อผมอยู่ ป.6 จะขึ้น ม.1 เริ่มพอจะรู้ความ แม่เริ่มเล่าความเจ็บปวดในชีวิตหลายๆ อย่างให้ผมฟังมากขึ้นเรื่อยๆ แม่บอกว่าแม่ปล่อยให้ผมเกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนกับแม่ แม่บอกว่าแม่ตั้งใจเลี้ยงมาเพื่อให้เป็นคนดี ไม่ต้องเป็นผู้ชายเลวๆ เหมือนพ่อมัน แม่เริ่มเปิดเผยอดีตของแม่ให้ผมฟัง และนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกเกลียดกลัวพ่อมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ทุกครั้งที่เจอกัน เวลาพ่อแม่ทะเลาะกัน พ่อมักจะขู่แม่เสมอๆ ว่า ชั้นจะเอาลูกไปเลี้ยงเอง แต่แม่ก็บอกว่า ถ้าแกเอาลูกไป ฉันจะยิงแกตายแน่ๆ และถ้าแกทำอะไรชั้น พี่ชั้น(ลุง) ออกจากคุกมาจะไม่เอาแกไว้แน่ นั่นก็ทำให้พ่อกลัวและสงบลงบ้าง ภาพที่ผมเห็นชินชาก็ค่อยๆ น้อยลง บวกกันอายุพ่อที่มากขึ้น และเริ่มเจ็บป่วยแล้ว ไปไหนมาไหนไม่ได้และใช้วิธีโอนเงินมาให้แทน ผมก็เห็นหน้าพ่อน้อยลง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเวลาที่จ่ายค่าเทอมทีนึง เจอกันที่โรงเรียน พ่อมักจะชวนผมว่าตาหนูไปอยู่กับพ่อไหม แต่ผมกลัวและปฏิเสธตลอด จนกระทั่ง จบ ม.3 พ่อบอกว่าจะไม่ส่งให้เรียน ม.ปลาย และจะพาไปทำงานเป็นชิบปิ้งด้วย แต่ผมไม่เอาและเขียนจดหมายขอพ่อว่า ขอเรียน ปวช ดีกว่า เพราะอยากทำสายอาชีพ ทั้งๆ ที่ใจจริงอยากเรียน ม.ปลายกับเพื่อน แต่เพื่ออนาคตก็ต้องทำครับ พ่อเองเห็นจดหมายของผมก็เขียนจดหมายตอบว่าได้ จะส่งให้เรียนถึง ปวส. และนั่นก็คงเป็นครั้งที่พ่อกับลูกได้สื่อสารกัน ไม่ใช่การที่พูดคุยกันปกติ แต่เป็นการคุยกันผ่านตัวอักษรที่สื่อถึงกัน ผมยังจำลายมือของพ่อได้ ช่วงเวลาที่ใช้เวลาอยุ่กับพ่อ ส่วนใหญ่พ่อก็จะพาแม่ไปซื้อของเข้าบ้านที่แม็คโครบ้าง โลตัสศรีนครินทร์บ้าง ผมก็จะนั่งอ่านหนังสือรอพ่ออยู่ที่รถแบบเงียบๆ พ่อมักจะชอบถามผมว่าจะเอายังไงกับอนาคต ผมก็เงียบๆ ไม่รู้จะตอบยังไง ก็จะโดนด่าว่าไอ้นี่ปัญญาอ่อนเหมือนแม่มันหรือเปล่าเสมอ แม่ผมก็จะนิ่งๆ ไม่ตอบอะไรเพราะไม่อยากทะเลาะกันเดี๋ยวจะถูกไล่ลงจากรถ ก็เป็นความทรงจำหนึ่งที่พอจำได้ดี
9. การลาจาก
ผมเจอพ่อครั้งสุดท้าย ตอนใกล้จะจบ ปวส พ่อให้ค่าเทอมงวดสุดท้ายและถามว่าจะเอายังไง ผมก็ตอบว่าจะหางานทำ พ่อเองก็ตอบว่าจะให้ผมไปเป็นชิบปิ้งทำงานบริษัทของพ่อ มันทำให้ผมกลัวมาก เพราะไม่อยากไปอยู่บ้านพ่อ แม่ก็บอกผมว่าให้รีบหางานให้ได้ เดชะบุญที่หางานทำได้พอดี ก็เลยไม่ได้ไปอยู่กับพ่อนะครับ แต่นั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ เพราะพอผมทำงานได้ 1 ปี พ่อก็เข้าโรงพยาบาลเพราะเป็นอัมพาตครึ่งตัว หลังเป็นมะเร็งด้วย แม่ผมเคยให้ผมโทรไปคุยกับพ่อที่โรงพยาบาล ช่วงแรกๆ พ่อก็จำได้ว่าตาหนูเหรอ ตั้งใจทำงานนะ แต่พอหลังๆ โทรไปแล้วญาติของพ่อรับสาย ผมก็จะไม่พูดและวางสายไป คุยกับพ่อครั้งสุดท้าย พ่อก็จำผมไม่ได้แล้ว และคิดว่าเป็นลุกชายคนอื่นของพ่อ และหลังจากนั้นไม่นานประมานปีนึง พ่อก็จากผมไป
เมื่อแม่รู้ข่าว สิ่งที่แม่พูดก็คือ “หมดเวรหมดกรรม” กันเสียที และแม่เคยบอกพ่อว่า ตายกูก็จะไม่ไปเผา และแม่ก็ไม่ไปจริงๆ แต่ผมอยากไปให้ได้ ผมต้องไปลาพ่อเป็นครั้งสุดท้าย และขอบคุณสำหรับทุกอยายงที่ให้ผมเกิดมาแม้จะไม่เต็มใจเท่าไรเพราะถูกบังคับ แต่ก็ยังส่งเสียเล่าเรียนมาจนถึงวันนี้ วันที่ผมไปงานศพพ่อคนเดียว เวลาแขกถามผมก้จะตอบนามสกุลพ่อไป แต่ไม่ตอบอะไรมากไปกว่านั้น นั่งอยู่ข้างหลังคนเดียว และเมียคนอื่นของพ่อที่เป็นเพื่อนแม่ก็จำผมได้ และมาพูดคุยให้ผมฟัง ถามไถ่เรื่องแม่ว่าเป็นยังไงบ้าง อดีตก็ผ่านมาแล้ว หลายๆ คนก็ลูกก็โตกันหมดแล้วรวมทั้งผมด้วย ผมได้เห็นหน้าลูกชายของพ่อ เมียหลวงของพ่ออีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทักทายอะไรมาก นอกจากไปกราบหน้าโลงศพเงียบๆ คนเดียวแล้วก็กลับบ้านมาเล่าให้แม่ฟัง
สิ่งที่พ่อทิ้งไว้ ก็คือมรดกส่วนแบ่งที่มาจากสิทธิในการเป็นทายาทอันชอบธรรมในการรับรองบุตร ที่ต้องฟันฝ่ามาโดยการไปยื่นเรื่องของสิทธิจากที่ทำงานพ่อ และนั่นทำให้บ้านใหญ่ของพ่อทุกคนรุ้ว่าผมมีตัวตน และกำลังจะมาเอาแบ่งเงินไปจากเขาส่วนหนึ่ง บ้านนั้นพยายามพิสูจน์ตัวตนของผมกับแม่ทุกอย่าง แต่หลักฐานที่พ่อรับรองบุตรไว้ก็ช่วยให้ผมผ่านการตรวจสอบและได้ชื่อว่าเป็นทายาทโดยธรรมคนนึงตามกฏหมายจริงๆ เงินที่ได้มาประมานสามแสนกว่าๆ ที่เป็นมรดกตามพินัยกรรม ก็เป็นทุนที่ทำให้ผมได้เรียนจนจบมหาวิทยาลัย และหาเลี้ยงแม่จนถึงทุกวันนี้
10. ส่งท้าย
ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ เพื่อบันทึกความทรงจำและเป็นอุทาหรณ์ครับ สังคมไทยครอบครัวไทยยังมีมุมมืดแบบนี้อยู่เยอะแต่ไม่กล้าเปิดเผย สังคมชายเป็นใหญ่ในวงการราชการ เรียนจบทหารมาต้องเป็นเจ้าคนนายคน มีเมียเยอะคือเท่คือดีมีอำนาจเป็นที่ยอมรับ ผู้ชายใหญโตที่ใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่การงานสร้างฮาเร็มส่วนตัวหลอกผู้หญิงสนองตัณหาตัวเอง หรือผู้หญิงที่รักความสบายใช้ร่างกายตัวเองเพื่อเติบโตก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ทำทุกอย่างโดยไม่สนว่าจะรักหรือไม่รักผู้ชายคนนั้นขอแค่ได้สิ่งที่ต้องการที่สุดในชีวิตก็ไม่มีวันพบความรักจริงๆ เลย รวมถึงกรณีของเมียน้อยที่ถูกข่มเหงรังแกจากเมียคนอื่นๆ ลูกเมียน้อยที่ต้องมีชีวิตที่ช่วยตัวเองเสมอ สิ่งเหล่านี้สะท้อนค่านิยมของสังคมในด้านมืดได้ดีครับ และนี่คือต้นเหตุของปัญหาสังคมหลายๆ อย่าง ลุงผมต้องคิดคุกเพราะสังคมมั่วสุม ป้าผมเคยโกงเงินหลวง แม่ผมเคยผ่านการทำแท้ง เด็กอย่างผมมีปัญหาเพราะครอบครัวแตกแยก ค่านิยมการชิงดีชิงเด่นกันในที่ทำงาน การใช้หน้าที่การงานเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง สิ่งเหล่านี้ครอบครัวผมเหมือนจะผ่านมาหมดแล้ว
ที่สุดแล้ว แม่ของผมก็ไม่มีความสุขตลอดชีวิต ชีวิตของแม่ไม่เคยเจอคนที่รักจริงๆ อยุ่กับแม่ได้ตลอดเลยสักคนเดียว แม่ผมแทบไม่รู้จักความสุขจากความรักเลย นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรักแม่ของผมมากกว่าพ่อนะ ถ้าผมอยู่ในสถานการณ์แบบแม่ผมก็ไม่รู้จะตัดสินใจยังไงเหมือนกัน
ส่วนพ่อ ผมก็เข้าใจในสิ่งที่พ่อเป็น เพราะสังคมวัฒนธรรมการศึกษาหล่อหลอมให้พ่อมาเป็นผู้ชายแบบนี้ แต่พ่อก็ยังมีความรับผิดชอบและเป็นผู้ชายเต็มตัว และด้านดีของพ่อคือสิ่งที่ผมรักและซึ้งใจเสมอ
หวังว่าเรื่องของผมคงจะทำให้หลายๆ คนได้คิดได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
แม่ของผมอาจจะเป็นดังที่เพื่อนของแม่หรือพ่อด่าก็ได้ ว่าแค่ karee ชั้นต่ำ อย่างที่ผมได้ยินมา
แต่สำหรับผมแม่ก็คือแม่ ที่ทำทุกอย่างเพื่อลูก และลูกคนนี้ก็ได้ดีจนถึงทุกวันนี้
-- เมื่อเขาหาว่าแม่ผมเป็น karee (จบ) --
5. แรกเกิด
แม่เคยบอกว่า แม่อยากได้เด็กผู้หญิง แม่จะเลี้ยงเขาให้ดีจะได้ไม่ต้องมีชีวิตเหมือนแม่ ที่ต้องเป็นแบบนี้กับการตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่ดันได้มาเป็นเด็กผู้ชาย ผมเลยถูกเลี้ยงคล้ายๆ เด็กผู้หญิง แม่บอกเสมอว่าฉันไม่ได้อยากให้แกเกิดมาเป็นผู้ชาย เพราะฉันกลัวแกจะเป็นเหมือนพ่อแก แม่บอกผมเสมอว่าเห็นหน้าแกแล้วฉันเหมือนเห็นหน้าพ่อแก ที่ถอดแบบออกมาเปี๊ยบเลย ส่วนพ่อเอง ในคืนที่ผมเกิด พ่อเองแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่เพื่อนของแม่ก็บอกให้พ่อรู้ พ่อถึงจำใจต้องมา และพ่อไม่เคยที่จะอุ้มผมเลยสักครั้งเดียว ตอนแม่ผมขอให้อุ้ม พ่อก็ไม่อุ้มนานและส่งให้นางพยาบาลอุ้ม แต่พ่อก็ซื้อนมกระป๋อง NAN มาให้ และก็รับรองบุตรให้ แม่เคยเล่าว่า ลูกแต่ละคนของเมียน้อยของพ่อ มีน้อยที่พ่อจะยอมรับรองบุตรให้ แต่ก็แค่นั้น ก็คือไม่ได้ส่งเสียอะไรเลย
เมื่อผมเกิดมา ลูกของป้า ก็อายุ 4 ขวบ ป้าผมก็เลยมาอยู่กับแม่ด้วย เพื่อช่วยดูแลผมที่ยังเล็ก แม่ก็ตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต ก็คือลาออกจากงาน และนั่นทำให้พ่อเหมือนจะโกรธมาก เพราะเวลาอยากเจอแม่ ก็จะต้องมาหาที่บ้านแทนที่จะเจอกันที่ทำงานแล้วไปไหนมาไหนต่อ อีกอย่างพ่อก็ไม่ชอบครอบครัวของแม่ที่มาอยู่ที่บ้านด้วย หลายๆ ครั้งตาเองก็ทะเลาะกับแม่ เพราะรับไม่ได้ที่พ่อมาหาแม่และมีอะไรกันที่บ้าน ตาจึงตัดสินใจที่จะไปอยู่กับลุงและตัดพ่อตัดลูกกันตั้งแต่ตอนนั้น ส่วนป้าเวลาพ่อผมมาหาก็มีหน้าที่ดูแลผมไป ป้าเล่าให้ฟังว่าแม่ทำแบบนี้เพราะต้องการให้พ่อมาหาและรับผิดชอบผมบ้างในฐานะพ่อ เพราะถ้ายังทำงานอยู่ที่ทำงาน แม่อาจจะถูกมองไม่ดี และพ่อเองก็จะถือโอกาสนี้เขี่ยแม่ออกจากชีวิตไปหาคนใหม่ได้เหมือนที่เคยทำกับคนอื่นๆ ในกอง
6. แตกแยก
เมื่อผมอายุได้ 5 ขวบ ก็มีเรื่อง ตามาแจ้งว่าลุงถูกจับข้อหาสูบกัญชาและมั่วเฮโรอีน ตาเองทราบข่าวก็ตรอมใจมาก และไม่นานตาก็เสียชีวิตไปโดยที่ลุงไม่มีโอกาสที่จะมาเผาศพเลย ภาพงานวันศพที่วัดตะกล่ำผมยังจำได้ติดตา และแม่ก็เริ่มมีปากเสียงกับพ่อบ่อยขึ้น ช่วงหนึ่งที่พ่อหายไปจากชีวิตนานถึง 6 เดือน บวกกับป้าก็มีปัญหาเรื่องเงิน เนื่องจากป้าทำงานเป็นข้าราชการมีหน้าที่จ่ายเงินเดือนให้กับคนในอำเภอ แต่ป้าได้เอาเงินไปหมุนเวียนก่อนและหาคืนมาไม่ทัน จนกลุ้มใจมาก แม่ผมเลยตัดสินใจที่จะขายบ้านในราคาถูกๆ คือ 200000 ในขณะนั้น (64 ตารางวา) เพื่อเอาเงินมาช่วยป้า และย้ายบ้านออกจากหมู่บ้านจัดสรรมาผ่อนแฟลตแห่งหนึ่งอยู่ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พ่อโกรธมากๆ เมื่อรุ้ข่าว และบอกว่าฉันจะไม่ให้อะไรเธออีกต่อไปแล้ว
เมื่อผมเรียนอนุบาล และต้องจ่ายค่าเทอม บ่อยครั้งแม่จะใช้วิธีพาผมไปหาพ่อที่ที่ทำงาน หรือถ้าไม่เจอก็ไปดักรอที่หน้าบ้าน โดยคนขับรถของพ่อที่สงสารแม่ก็เป็นคนนัดแนะให้ว่าพ่อจะไปที่ไหนเมื่อไร มีครั้งหนึ่งที่แม่บุกไปที่บ้านใหญ่ของพ่อ แต่พ่อไม่ยอมออกมาเจอ จนคนขับรถต้องพาแม่เข้าไปนั่งรอในบ้าน นั่นคงเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมได้ไปบ้านของพ่อ เดชะบุญที่เมียหลวงของพ่อใม่อยู่บ้าน และเมียหลวงของพ่อก็ตกใจ แต่พอเห็นหน้าผมก็ไม่กล้าอะไรมาก และให้กลับไปก่อน จากนั้นพ่อก็ติดต่อมาและบอกว่าจะให้เงินกินทุกเดือน และไม่ต้องทำแบบนี้อีก เพราะไม่อยากให้เมียหลวงรู้ว่ามีผล
7. ดิ้นรน
หลายครั้งที่พ่อมาหาที่บ้าน แม่มักจะไล่ผมให้ออกไปเล่นข้างนอก ผมไม่รู้หรอกว่าพ่อกับแม่ทำอะไรกันยังไงตามประสาเด็ก และหลายครั้งที่พ่อไม่ส่งเงินมาให้ แม่ผมก็ต้องหางานเสริมทุกอยายง ไม่ว่าจะไปเป็น รปภ รับเลี้ยงเด็ก สารพัด แต่ช่วงหนึ่งตกงานและไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมให้ แม่ตัดสินใจพาผมไปหาน้าวันชัย ที่ทำงาน เพื่อขอเงินค่าเทอมให้ผม นั่นก็เป็นครั้งแรกที่แม่ผมพาผมให้รุ้จักกับแฟนเก่าของแม่ ที่ปัจจุบันแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ผมจำได้ว่าวันนั้นน้าวันชัยไม่ได้คุยอะไรกันกับแม่มาก นอกจากถามว่าสบายดีไหม และลูบหัวผมเบาๆ บอกว่าก็มีส่วนคล้ายเธอนะและให้เงินค่าเทอมมาใช้และบอกให้รีบๆ กลับไป แม่ผมไหว้ขอบอกขอบคุณยกใหญ่ ก่อนที่จะออกมา บ่อยครั้งที่พ่อไม่ส่งเงินเดือนมาให้ แม่ผมก็จะพาผมไปเที่ยวโรงแรมนั้น โรงแรมนี้ เช่นโรงแรมแถวเพชรบุรีตรงข้าม มศว ที่ปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว โรงแรมมณเทียร ที่ยังอยู่ โดยแม่จะแต่งตัวชุดเครสสวยๆ ทาปาก ไปพบกันผู้ชายคนนั้นคนนี้ และทิ้งผมให้รอที่ล็อบบี้โรงแรมชั่วโมงนึงก่อนที่จะกลับบ้าน ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรเกิดขึ้นและแม่ไปทำอะไรในเวลานั้น
วันไหนที่พ่อมาหาที่บ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นวันสิ้นเดือน แม่มักจะให้ผมไปหาพ่อเพื่อขอเงินเสริม แต่ผมก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับพ่อเลย เพราะจำได้แม่นถึงภาพที่เวลาพ่อกับแม่ทะเลาะกัน เตะต่อยตบกันจนเละเทะ และจบด้วยแม่ตะเพิดพ่อออกจากบ้านเสมอ ครั้งหนึ่งผมร้องไห้และถามว่าทะเลาะกันทำไม พ่อก็เอามือมาตบบ้องหุผม และบอกว่าหุบปากเลย เป็นลูกทหารต้องห้ามร้องไห้ให้กูเห็น เดี๋ยวกุตบหูหนวก และนั่นทำให้ผมกลัวพ่อมากๆ เวลาที่ทะเลาะกัน จะได้ยินคำพ่อด่าแม่ว่า อี
8. เติบโต
เมื่อผมอยู่ ป.6 จะขึ้น ม.1 เริ่มพอจะรู้ความ แม่เริ่มเล่าความเจ็บปวดในชีวิตหลายๆ อย่างให้ผมฟังมากขึ้นเรื่อยๆ แม่บอกว่าแม่ปล่อยให้ผมเกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนกับแม่ แม่บอกว่าแม่ตั้งใจเลี้ยงมาเพื่อให้เป็นคนดี ไม่ต้องเป็นผู้ชายเลวๆ เหมือนพ่อมัน แม่เริ่มเปิดเผยอดีตของแม่ให้ผมฟัง และนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกเกลียดกลัวพ่อมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ทุกครั้งที่เจอกัน เวลาพ่อแม่ทะเลาะกัน พ่อมักจะขู่แม่เสมอๆ ว่า ชั้นจะเอาลูกไปเลี้ยงเอง แต่แม่ก็บอกว่า ถ้าแกเอาลูกไป ฉันจะยิงแกตายแน่ๆ และถ้าแกทำอะไรชั้น พี่ชั้น(ลุง) ออกจากคุกมาจะไม่เอาแกไว้แน่ นั่นก็ทำให้พ่อกลัวและสงบลงบ้าง ภาพที่ผมเห็นชินชาก็ค่อยๆ น้อยลง บวกกันอายุพ่อที่มากขึ้น และเริ่มเจ็บป่วยแล้ว ไปไหนมาไหนไม่ได้และใช้วิธีโอนเงินมาให้แทน ผมก็เห็นหน้าพ่อน้อยลง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเวลาที่จ่ายค่าเทอมทีนึง เจอกันที่โรงเรียน พ่อมักจะชวนผมว่าตาหนูไปอยู่กับพ่อไหม แต่ผมกลัวและปฏิเสธตลอด จนกระทั่ง จบ ม.3 พ่อบอกว่าจะไม่ส่งให้เรียน ม.ปลาย และจะพาไปทำงานเป็นชิบปิ้งด้วย แต่ผมไม่เอาและเขียนจดหมายขอพ่อว่า ขอเรียน ปวช ดีกว่า เพราะอยากทำสายอาชีพ ทั้งๆ ที่ใจจริงอยากเรียน ม.ปลายกับเพื่อน แต่เพื่ออนาคตก็ต้องทำครับ พ่อเองเห็นจดหมายของผมก็เขียนจดหมายตอบว่าได้ จะส่งให้เรียนถึง ปวส. และนั่นก็คงเป็นครั้งที่พ่อกับลูกได้สื่อสารกัน ไม่ใช่การที่พูดคุยกันปกติ แต่เป็นการคุยกันผ่านตัวอักษรที่สื่อถึงกัน ผมยังจำลายมือของพ่อได้ ช่วงเวลาที่ใช้เวลาอยุ่กับพ่อ ส่วนใหญ่พ่อก็จะพาแม่ไปซื้อของเข้าบ้านที่แม็คโครบ้าง โลตัสศรีนครินทร์บ้าง ผมก็จะนั่งอ่านหนังสือรอพ่ออยู่ที่รถแบบเงียบๆ พ่อมักจะชอบถามผมว่าจะเอายังไงกับอนาคต ผมก็เงียบๆ ไม่รู้จะตอบยังไง ก็จะโดนด่าว่าไอ้นี่ปัญญาอ่อนเหมือนแม่มันหรือเปล่าเสมอ แม่ผมก็จะนิ่งๆ ไม่ตอบอะไรเพราะไม่อยากทะเลาะกันเดี๋ยวจะถูกไล่ลงจากรถ ก็เป็นความทรงจำหนึ่งที่พอจำได้ดี
9. การลาจาก
ผมเจอพ่อครั้งสุดท้าย ตอนใกล้จะจบ ปวส พ่อให้ค่าเทอมงวดสุดท้ายและถามว่าจะเอายังไง ผมก็ตอบว่าจะหางานทำ พ่อเองก็ตอบว่าจะให้ผมไปเป็นชิบปิ้งทำงานบริษัทของพ่อ มันทำให้ผมกลัวมาก เพราะไม่อยากไปอยู่บ้านพ่อ แม่ก็บอกผมว่าให้รีบหางานให้ได้ เดชะบุญที่หางานทำได้พอดี ก็เลยไม่ได้ไปอยู่กับพ่อนะครับ แต่นั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ เพราะพอผมทำงานได้ 1 ปี พ่อก็เข้าโรงพยาบาลเพราะเป็นอัมพาตครึ่งตัว หลังเป็นมะเร็งด้วย แม่ผมเคยให้ผมโทรไปคุยกับพ่อที่โรงพยาบาล ช่วงแรกๆ พ่อก็จำได้ว่าตาหนูเหรอ ตั้งใจทำงานนะ แต่พอหลังๆ โทรไปแล้วญาติของพ่อรับสาย ผมก็จะไม่พูดและวางสายไป คุยกับพ่อครั้งสุดท้าย พ่อก็จำผมไม่ได้แล้ว และคิดว่าเป็นลุกชายคนอื่นของพ่อ และหลังจากนั้นไม่นานประมานปีนึง พ่อก็จากผมไป
เมื่อแม่รู้ข่าว สิ่งที่แม่พูดก็คือ “หมดเวรหมดกรรม” กันเสียที และแม่เคยบอกพ่อว่า ตายกูก็จะไม่ไปเผา และแม่ก็ไม่ไปจริงๆ แต่ผมอยากไปให้ได้ ผมต้องไปลาพ่อเป็นครั้งสุดท้าย และขอบคุณสำหรับทุกอยายงที่ให้ผมเกิดมาแม้จะไม่เต็มใจเท่าไรเพราะถูกบังคับ แต่ก็ยังส่งเสียเล่าเรียนมาจนถึงวันนี้ วันที่ผมไปงานศพพ่อคนเดียว เวลาแขกถามผมก้จะตอบนามสกุลพ่อไป แต่ไม่ตอบอะไรมากไปกว่านั้น นั่งอยู่ข้างหลังคนเดียว และเมียคนอื่นของพ่อที่เป็นเพื่อนแม่ก็จำผมได้ และมาพูดคุยให้ผมฟัง ถามไถ่เรื่องแม่ว่าเป็นยังไงบ้าง อดีตก็ผ่านมาแล้ว หลายๆ คนก็ลูกก็โตกันหมดแล้วรวมทั้งผมด้วย ผมได้เห็นหน้าลูกชายของพ่อ เมียหลวงของพ่ออีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทักทายอะไรมาก นอกจากไปกราบหน้าโลงศพเงียบๆ คนเดียวแล้วก็กลับบ้านมาเล่าให้แม่ฟัง
สิ่งที่พ่อทิ้งไว้ ก็คือมรดกส่วนแบ่งที่มาจากสิทธิในการเป็นทายาทอันชอบธรรมในการรับรองบุตร ที่ต้องฟันฝ่ามาโดยการไปยื่นเรื่องของสิทธิจากที่ทำงานพ่อ และนั่นทำให้บ้านใหญ่ของพ่อทุกคนรุ้ว่าผมมีตัวตน และกำลังจะมาเอาแบ่งเงินไปจากเขาส่วนหนึ่ง บ้านนั้นพยายามพิสูจน์ตัวตนของผมกับแม่ทุกอย่าง แต่หลักฐานที่พ่อรับรองบุตรไว้ก็ช่วยให้ผมผ่านการตรวจสอบและได้ชื่อว่าเป็นทายาทโดยธรรมคนนึงตามกฏหมายจริงๆ เงินที่ได้มาประมานสามแสนกว่าๆ ที่เป็นมรดกตามพินัยกรรม ก็เป็นทุนที่ทำให้ผมได้เรียนจนจบมหาวิทยาลัย และหาเลี้ยงแม่จนถึงทุกวันนี้
10. ส่งท้าย
ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ เพื่อบันทึกความทรงจำและเป็นอุทาหรณ์ครับ สังคมไทยครอบครัวไทยยังมีมุมมืดแบบนี้อยู่เยอะแต่ไม่กล้าเปิดเผย สังคมชายเป็นใหญ่ในวงการราชการ เรียนจบทหารมาต้องเป็นเจ้าคนนายคน มีเมียเยอะคือเท่คือดีมีอำนาจเป็นที่ยอมรับ ผู้ชายใหญโตที่ใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่การงานสร้างฮาเร็มส่วนตัวหลอกผู้หญิงสนองตัณหาตัวเอง หรือผู้หญิงที่รักความสบายใช้ร่างกายตัวเองเพื่อเติบโตก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ทำทุกอย่างโดยไม่สนว่าจะรักหรือไม่รักผู้ชายคนนั้นขอแค่ได้สิ่งที่ต้องการที่สุดในชีวิตก็ไม่มีวันพบความรักจริงๆ เลย รวมถึงกรณีของเมียน้อยที่ถูกข่มเหงรังแกจากเมียคนอื่นๆ ลูกเมียน้อยที่ต้องมีชีวิตที่ช่วยตัวเองเสมอ สิ่งเหล่านี้สะท้อนค่านิยมของสังคมในด้านมืดได้ดีครับ และนี่คือต้นเหตุของปัญหาสังคมหลายๆ อย่าง ลุงผมต้องคิดคุกเพราะสังคมมั่วสุม ป้าผมเคยโกงเงินหลวง แม่ผมเคยผ่านการทำแท้ง เด็กอย่างผมมีปัญหาเพราะครอบครัวแตกแยก ค่านิยมการชิงดีชิงเด่นกันในที่ทำงาน การใช้หน้าที่การงานเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง สิ่งเหล่านี้ครอบครัวผมเหมือนจะผ่านมาหมดแล้ว
ที่สุดแล้ว แม่ของผมก็ไม่มีความสุขตลอดชีวิต ชีวิตของแม่ไม่เคยเจอคนที่รักจริงๆ อยุ่กับแม่ได้ตลอดเลยสักคนเดียว แม่ผมแทบไม่รู้จักความสุขจากความรักเลย นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรักแม่ของผมมากกว่าพ่อนะ ถ้าผมอยู่ในสถานการณ์แบบแม่ผมก็ไม่รู้จะตัดสินใจยังไงเหมือนกัน
ส่วนพ่อ ผมก็เข้าใจในสิ่งที่พ่อเป็น เพราะสังคมวัฒนธรรมการศึกษาหล่อหลอมให้พ่อมาเป็นผู้ชายแบบนี้ แต่พ่อก็ยังมีความรับผิดชอบและเป็นผู้ชายเต็มตัว และด้านดีของพ่อคือสิ่งที่ผมรักและซึ้งใจเสมอ
หวังว่าเรื่องของผมคงจะทำให้หลายๆ คนได้คิดได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
แม่ของผมอาจจะเป็นดังที่เพื่อนของแม่หรือพ่อด่าก็ได้ ว่าแค่ karee ชั้นต่ำ อย่างที่ผมได้ยินมา
แต่สำหรับผมแม่ก็คือแม่ ที่ทำทุกอย่างเพื่อลูก และลูกคนนี้ก็ได้ดีจนถึงทุกวันนี้